วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2555


Conjunction
คําสนธาน ั (Conjunctions) คือ คําหรอกล ื มคุ าทํ ใชี่ เช อมระหว ื่ างค  ํา วลีและประโยค
คําสนธานม ั 3  ี ชนิด ไดแก
1. Coordinating Conjunctions
2. Subordinating Conjunctions
3. Correlative Conjunctions
1. Coordinating Conjunctions  เปนค าสํ นธานท ั เชี่ อมค ื่ าหร ํ อขื อความท  ี่มีความสาคํ ัญ
เทาก ัน หรอเปื นประเภทเด  ียวกัน คําสนธานประเภทน ั ี้ไดแก 
and as well as yet
but for
nor or
Coordinate Conjunctions สามารถใชในรปแบบต ู อไปน  ี้
1.1 เชอมค ื่ ากํ บคั ํา เชน
colleges and universities   quickly and beautifully
pretty and intelligent  fish and chips
1.2 เชอมวล ื่ ีกับวลีเชน
Going to a dance or to a movie
1.3 เชอมประโยคก ื่ บประโยค ั เชน
Her parents decided to postpone their trip to Los Angeles, for the
weather was threatening.
 2. Subordinating Conjunctions  เปนค าเชํ อมท ื่ ี่มีคําเฉพาะกลมหน ุ ึ่ง ใชเช อมประโยค ื่
ยอย (Subordinate Clause) กับประโยคหลัก (Independent Clause) ไดแก คําตอไปน  ี้
 after because even though even if
 although before if in order that
 as since that though
 as if unless until when
 whereas whether while as soon as
  He works as if he were a machine.
    Since the road was slippery, John decided to stop at that motel.
  He won’t pass the exam unless he studies harder. 3. Correlative Conjunctions  เปนค ําเชอมท ื่ ี่มีคําที่ตองใชคูกันเสมอ ทําหนาท ี่
เชนเดยวก ี ับ Coordinating Conjunctions  คือ ใชเช อมค ื่ าหร ํ อขื อความท  ี่มีความสาคํ ัญ
เทาก นหร ั อเป ื นประเภทเด  ยวก ี ัน ไดแก
both…..and   neither…..nor
not only…..but also  either…..or
as…..as   so…..as
That novel is both good and cheap.
Sue is not only a good dancer but also an accomplished singer.
Neither you nor I understand this notice.
นอกจากนี้ ยังมีคําเชอมประโยคอ ื่ กกล ี มหน ุ งทึ่ เรี่ ยกว ี า Conjunctive Adverbs
ทําหนาท เชี่ อมในล ื่ กษณะเด ั ยวก ี ับ Coordinating Conjunctions  Conjunctive Adverbs นี้
จะมเคร ี องหมาย ื่ ;  นําหนา ตามดวยเครองหมาย ื่ ,   หรืออาจใชขึ้นตนประโยคแลวใช
เครื่องหมาย ,  ตามกได็ เชน
accordingly for example in fact nevertheless
also for instance instead or else
besides however meanwhile otherwise
consequently in addition moreover therefore
so still then thus
yet
That handbag is just what I am looking for; however, I don’t have
enough money.
There are many earthquakes in Japan, so they don’t build tall
buildings.
It was cold, yet he still went swimming.
คําสนธานม ั ีทั้งทเปี่ นค าเดํ ยวและเป ี่ นกล  มคุ ํา สามารถแยกออกไดเป นกล  มใหญ ุ  ๆ
ดังตอไปน  ี้
 1. คําทแสดงความคล ี่ อยตามก  นหร ั อเพื ิ่มเติมขอความ  (Addition)
actually besides likewise as a matter of fact
again certainly similarly in addition (to)
and indeed on top of that not only…..but also
also moreover  above all both…..and
then furthermore in fact neither…..nor
  He is not only tired but also hungry.   George neither admits nor deny the accusation.
 2. คําที่แสดงทางเลือก (Alteration) เชน
 or   either…..or
 alternatively  on the other hand
  My daughter writes letters or sends e-mail to me every week.
  That boy can either stay here or leave now.
 3. คําทแสดงเหต ี่ และผล ุ (Reason/Cause and Result)
แสดงเหตุ - as long as because since
   owing to then thus
แสดงผล - as a result hence accordingly
   for this reason therefore consequently
   because of this
  I will lend you my textbook as long as you keep it clean.
  Tom was sick;  consequently, he didn’t come to your birthday
party.
 4. คําที่แสดงการเปรียบเทยบี (Comparison)
 as…..as as if as though
 likewise similarly equally
 correspondingly just as just the same as
 in a like manner in the same way in the same manner
As my income increases, my expenditure  correspondingly
increases.
 5. คําทแสดงการสร ี่ ุป (Conclusion and Summary)
 finally after all all in all
 in short in brief briefly
 in conclusion to conclude on the whole
 in summary to summarize to sum up
In short, John is broke.
On the whole, Mr. Bush is a good administrator.
 6. คําทแสดงเง ี่ อนไข ื่ (Condition)
 if  as long as only if
 unless suppose on the condition that  when supposing provided that
 while supposing that assuming that
When I go to the post office, I always buy new stamps.
I’ll accept his invitation provided that you go with me.
 7. คําทแสดงความข ี่ ดแย ั งและการยอมรับ (Contrast/Opposition and Concession)
however nevertheless although in contrast
still nonetheless though of course
but alternatively while on the other hand
instead conversely whereas on the contrary
rather otherwise yet in spite of that
after all for all that even so in spite of the fact that
by contrast at the same time
You should do the homework; otherwise you’ll be punished.
Anne is careful whereas Kathy makes a lot of mistakes.
 8. คําทแสดงต ี่ วอย ั าง (Exemplification)
especially for example for instance
 including such as  as follows
particularly chiefly mainly
 People use personal computers for many things, for example, shopping,
visiting the library or working.
 First of all the ingredients such as flour, sugar, fat and water, are put
into a mixing machine.
 9. คําทแสดงการเน ี่ น (Emphasis)
also indeed certainly in fact
really actually particularly in particular
Our friends also enjoy popular music.
In fact, he didn’t come to English class.
 10. คําทแสดงล ี่ าดํ บกั อนหล  ัง (Sequence)
การเรมติ่ น - first firstly first of all
   in the first place to begin with initially
   in the beginning to start with originally
ลําดบตั อไป  - second secondly next    then subsequently after
   after that furthermore meanwhile
เหตุการณเกิดพรอมก  ัน  
  - in the meantime as soon as meanwhile
   shortly after that simultaneously
ลําดบสั ดทุ าย - eventually finally in the end
   lastly at last
   to conclude in conclusion
In the beginning, everything seemed to be difficult for me.
After the conference, we mentioned that matter to him again.
As soon as John arrived, it rained.
Finally, the same techniques of therapy are used by healers all
over the word.
 11. คําทแสดงการพ ี่ ดซู าหร ้ํ อขยายความ ื (Restatement/Clarification)
 or  briefly in the end
 specifically in other words that is the way
The doctor advised my friend specifically not to eat spicy food.
จากตวอย ั างท  งหมด ั้ จะเหนได ็ วาคาเช ํ อมความบางค ื่ าทํ าหน ํ าท มากกว ี่ าหน  ึ่ง
อยาง เชน คําวา “furthermore” ใชบอกความคล  อยตามก  ัน และใชแสดงลาดํ บกั อนหล  งกั ็
ไดแตใจความในประโยคจะบอกได  วา คําเชอมน ื่ นทั้ าหน ํ าท ใดี่ เพราะฉะนั้น ในการอานหน  งสั ือ
เราควรจะพจารณาหน ิ าท ของค ี่ าเชํ อมเป ื่ นหล  ัก และแปลความหมายของคาเชํ อมให ื่ ได ใจความ 
ตรงกบขั อความท  ปรากฏอย ี่

 Preposition 
การใช้ in,  at, on  บุพบทที่ใช้กับเวลามีหลักดังนี้ 
in :     ใช้บอกเวลาที่เป็นชื่อเดือน, ปี, ฤดูกาล, และส่วนของวัน เช่น 
I like  to  swim  in  the  morning.  ผมชอบว่ายน้ำในเวลาเช้า.
at :   ใช้เพื่อบอกเวลาเกี่ยวกับชั่วโมง noon, night, midnight, midday, Christmas, Easter เพื่อบอกเวลาเฉพาะเจาะจงเช่น 
They want home at three o’clock.  พวกเขากลับบ้านเวลา15.00 น
on : ใช้เพื่อบอกเวลาที่เป็นวันของสัปดาห์ และวันที่ วันสำคัญทางราชการ และวันสำคัญทางศาสนา เช่น  onSunday, on New Year’s Day, on King’s Birthday etc.
on time แปลว่า ตรงเวลาพอดี (ตรงพอดี)เช่น He comes on time. เขามาตรงเวลาพอดี
in time แปลว่าทันเวลา (ก่อนเวลา,ก่อนกำหนด) เช่น The train arrived at the station in time. รถไฟมาถึงสถานีทันเวลา(มาถึงก่อนเวลา)                        
การใช้ at,  in บุพบทที่ใช้เกี่ยวกับสถานที่มีหลักดังนี้
at  :  ใช้บอกสถานที่ที่ไม่ใหญ่โตนัก ที่จำกัด แน่นอน เช่น  at  school,  at  the  hotel….
in  :  ใช้บอกสถานที่ที่ใหญ่โตก็ได้เช่น in Thailand หรือใช้บอกสถานที่ที่เจาะจงภายในแห่งใดแห่งหนึ่งไม่ว่าใหญ่หรือโตก็ได้ เช่น in the house, in a country เป็นต้น
การใช้  during, between, among มีหลักเกณฑ์ดังนี้ 
               คำทั้ง  3  แปลว่า “ระหว่าง” แต่ใช้ต่างกันดังนี้
during: ใช้สำหรับบอกระยะเวลาการกระทำช่วงใดช่วงหนึ่งตามที่ระบุไว้ในประโยค เช่น  
During visiting Thailand, I had seen the Emerald  Buddha Temple. 
ระหว่างการมาเที่ยวประเทศไทย ฉันได้ไปชมวัดพระแก้ว เป็นต้น 
between:  ใช้สำหรับคั่นระหว่างของสองอย่างหรือคนสองคน เช่น 
She’s standing between you and me. 
หล่อนยืนอยู่ระหว่างคุณและผม (เมื่อใช้ between ต้องมี and ตามเสมอ)
among : ใช้สำหรับคั่นหรือเชื่อมนาม ที่มีจำนวนตั้งแต่ 3 ขึ้นไป เช่น The teacher’s standing among us.    
การใช้  in,  on,  by  กับยานพาหนะ
in :ใช้กับยานพาหนะที่มีสภาพปิด  กำบัง  เช่น   in the bus,  in  the  plane…
on :ใช้กับยานพาหนะที่มีสภาพเปิดโล่งแจ้ง ไม่ปกปิดกำบัง เช่น  on a horse, on a motorcycle..
by :ใช้ได้ทั้งปิดและเปิด แต่ต้องไม่มี  article  นำหน้า  เช่น by  bus,    by  train …
การใช้  on,  over,  above  มีหลักดังนี้
on :ใช้บอกว่าของที่อยู่บนที่ติดอยู่กับอันล่าง
over :ใช้บอกว่าของอยู่เหนือหัวพอดี
above :ใช้บอกว่าของนั้นอยู่ด้านบน(กว้างๆ)
Preposition วลี
คือ บุพบทตั้งแต่ 2ตัวขึ้นไปรวมอยู่ด้วยกัน และมีความหมายเสมือนเป็นบุพบทคำเดียว แบ่งเป็น 2ชนิด คือ                         
1.บุพบทวลีชนิด 2 ตัว [two words preposition]
2.บุพบทวลีชนิด 3 ตัว [three words preposition]
บุพบทชนิด  2 ตัว ได้แก่บุพบทต่อไปนี้
according to (ตาม), instead of (แทน, แทนที่), because of (เพราะว่า), owing to (เนื่องจาก)
บุพบทชนิด 3 ตัวได้แก่บุพบท ต่อไปนี้
in order to เพื่อที่จะ,by means of (โดยอาศัย),on account of (เนื่องจาก), in spite of (ถึงแม้ว่า),in front of (ข้างหน้า), in back of ( ข้างหลัง), for the sake of (เพื่อเห็นแก่), of the point of (เกือบจะ),on the point of (เกือบจะ), in consequence of (เนื่องจากว่า) 
หมายเหตุ การใช้บุพบทนี้ยังมีกริยาบางตัวที่มีข้อบังคับว่าต้องใช้บุพบทตัวใดตามหลังอีกด้วย เช่น belong to (เป็นของ), arrive at (มาถึงสถานที่เล็กๆ), ask….for (ขอ), agree with (เห็นด้วยตกลงด้วย),consist of (ประกอบด้วย), protect from (ป้องกันจาก), believe in (เชื่อ,มีศรัทธา), live on (กินเป็นอาหาร),make of (ทำด้วย), be afraid of (กลัว,เกรงกลัว)  
การใช้คำบุพบทที่ใช้อยู่เป็นประจำในสำนวนอื่น ๆ เช่น
in all directions (ในทุกทิศทุกทาง) , in search of (ค้าหาเพื่อ), in reply to (ในการตอบ),in the end (ในท้ายที่สุด), in the open-air (ในกลางแจ้ง), in a hurry (ในขณะรีบ), in politics (ในทางการเมือง), in my opinion (ในความคิดเห็นของข้าพเจ้า), in fact (โดยแท้จริงแล้ว), in truth (โดยความจริงแล้ว), in good condition(อยู่ในสภาพดี), in good health (มีสุขภาพดี), in poor health(มีสุขภาพไม่ดี), in row(อยู่ในแถว), in the book (ในหนังสือ), in despair (ด้วยความผิดหวัง), in tears (ด้วยน้ำตา), in ruin (ในสภาพหักพัง), in debt (เป็นหนี้), in luxury (อย่างหรูหรา), in poverty (ในสภาพยากจน) etc
4.   การใช้ by (โดย)
คำบุพบท by นี้มีวิธีการใช้ในหลาย ๆ ความหมาย ดังนี้
4.1 ใช้ by กับกริยาที่เรียกหากรรม (Transitive Verb) ในประโยคกรรมวาจก (Passive Voice) เพื่อแสดงให้รู้ว่าใครหรืออะไรเป็นผู้กระทำกริยาอาการนั้น ๆ เช่น
He was attacked by a dog. (เขาถูกสุนัขโจมตี (ไล่กัด))
ในที่นี้จะเห็นว่าผู้ที่กระทำกริยาอาการคือการโจมตีนั้น คือสุนัข (a dog) ส่วนเขา (He) นั้นเป็นผู้ถูกกระทำ
4.2 ใช้ by เพื่อแสดงให้เห็นถึงวิธีที่ทำหรือ ยานพาหนะที่ใช้ในการเดินทาง เช่น
You can travel by car/bus/train/boat/plane.(คุณสามารถเดินทางโดยรถยนต์/รถโดยสาร/รถไฟ/เรือ/เครื่องบิน)
You can book the tickets by phone. (คุณสามารถจองตั๋วทางโทรศัพท์)
4.3 ใช้ by เพื่อแสดงให้ทราบถึงหนทางที่ผ่านไป เช่น
He came in by the back door.(เขาเข้ามาทางประตูหลังบ้าน)
4.4 ใช้ by ในความหมายว่า อยู่ใกล้ ๆ หรือข้าง ๆ เช่น
He is standing by the window. (เขากำลังยืนอยู่ใกล้หน้าต่าง)
4.5 ใช้ by ในความหมายว่า ผ่านไป เช่น
She passed by me without noticing me. (เธอเดินผ่านผมไปโดยไม่ได้สังเกตเห็นผมเลย)
4.6 ใช้ by เพื่อแสดงถึงชื่อผู้ที่เขียนหนังสือ กำกับภาพยนตร์ หรือทำงานทางด้านศิลปะอื่น ๆ เช่น
This English Grammar Book is written by Dr.Thanapol.
(หนังสือไวยากรณ์อังกฤษเล่มนี้ เขียนโดยดร.ธนพล)
4.7 ใช้ by เกี่ยวกับเวลาในความหมายว่าใกล้ ๆ เวลานั้นหรือก่อนเวลานั้น เช่น
Try to be there by two o’clock. (พยายามไปให้ถึงที่นั่นประมาณบ่าย 2 โมง)
Please finish it by tomorrow. (โปรดทำให้เสร็จก่อนถึงพรุ่งนี้)
4.8 ใช้ by ในความหมายว่า ทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเองทั้งหมด เช่น
I did it all by myself. (ผมทำมันทั้งหมดด้วยตัวของผมเองทั้งนั้น)
4.9 ใช้ by นำหน้ากลุ่มคำดังต่อไปนี้คือ
by my watch (ตามนาฬิกาของผม) , by the dozen  (เป็นโหล (ขาย)), by land (โดยทางบก) etc...
5.   การใช้ before (ก่อน)
ถ้านำ beforeมาใช้กับเวลา จะหมายถึงเวลาใดก็ได้ ไม่ได้กำหนดแน่ชัดลงไปแต่ต้องเกิดขึ้นก่อนถึงเวลาที่พูดถึง เช่น
He will be back before ten. (เขาจะกลับเข้ามาก่อนเวลา 10 นาฬิกา)
คำว่า “before” นี้เป็นการกำหนดคร่าวๆ คือจะมาเวลาไหนก็ได้แต่ต้องเป็นก่อน10 นาฬิกาก็เป็นอันว่าใช้ได้
before นี้โดยปกติแล้วจะใช้เกี่ยวกับเวลา แต่ก็นำไปใช้เกี่ยวกับสถานที่ได้เช่นเมื่อเอ่ยถึงลำดับที่ในรายชื่อหรือการเรียงแถว
เช่น  Your name comes before mine in the list. (ชื่อของคุณมาก่อนชื่อของผมในรายชื่อ)
6.  การใช้ after (หลังจาก)
คำว่า “after” เมื่อนำมาใช้เกี่ยวกับเวลาก็หมายถึงเวลาใดก็ได้ แต่ต้องเป็นหลังจากเวลาที่พูดถึง เช่น
We will leave after lunch. (พวกเราจะออกเดินทางหลังจากทานอาหารกลางวันแล้ว)
7.  การใช้ till (until) (จนกระทั่ง)
คำว่า till และ until มีความหมายเหมือนกันและใช้แทนกันได้ และที่สำคัญคือทั้ง 2 คำนี้ เป็นได้ทั้งคำบุพบท (Preposition) และเป็นคำเชื่อม (Conjunction) ที่จะกล่าวถึงต่อไปจากนี้ด้วย ในที่นี้เป็นคำบุพบทแปลว่า “จนถึง/จนกระทั่ง” เช่น
We will keep it for you till (until) Monday. (พวกเราจะเก็บมันไว้ให้คุณจนถึงวันจันทร์)
ข้อสังเกต   ข้างหลัง till (until) นั้นเป็นคำนามคำเดียว คือ Monday ไม่ได้ตามด้วยประโยคจึงเป็นคำบุพบท
8.   การใช้ from…..to (จาก.....ถึง)
 คำบุพบท from ….to  ใช้ได้ทั้งกับเวลาและเกี่ยวกับสถานที่ เช่น
            ใช้กับเวลา  :       I usually work from nine to five.
                                    (โดยปกติผมจะทำงานจาก 9 นาฬิกาถึง 5 นาฬิกา)
            ใช้กับสถานที่  :   It is about 150 kilometres from Bangkok to Suphanburi Province.
                                    (ประมาณ 150 กิโลเมตรจากกรุงเทพฯถึงจังหวัดสุพรรณบุรี)
9.   การใช้ during (ระหว่าง)
คำบุพบท during จะใช้กับระยะเวลาที่ต่อเนื่องกันและที่สำคัญคือหลัง during ต้องเป็นคำนาม (Noun) หรือวลี (Phrase) เท่านั้น เช่น
The sun gives us light during the day. (ดวงอาทิตย์ให้แสงสว่างแกเราระหว่างเวลากลางวัน)
ข้อสังเกต
บางครั้งอาจใช้ duringและ inแทนกันได้ เมื่อต้องการพูดว่าบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นภายในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น
We will be on holiday during (in) April. (พวกเราจะอยู่ในช่วงวันหยุดระหว่าง (ใน) เดือนเมษายน)
นิยมใช้ during เมื่อต้องการเน้นถึงช่วงตลอดระยะเวลานั้น เช่น
The company was closed during the whole of April. (บริษัททำการปิดในช่วงตลอดเดือนเมษายน)
เรานิยมใช้ during เมื่อต้องการบอกว่าบางสิ่งได้เกิดขึ้นในเวลาหนึ่งและมีการจบลงในเวลาหนึ่งแต่ไม่ใช่ช่วงระยะเวลา เช่น
I phoned him during the meeting. (ผมโทรถึงเขาในระหว่างการประชุม)
I met him during his stay in Bangkok. (ผมได้พบเขาในช่วงที่เขาพักอยู่ในกรุงเทพฯ)
สำนวนเกี่ยวกับ duringที่ใช้บ่อย เช่น duringmyabsence (ในระหว่างที่ผมไม่อยู่), duringthe concert (ระหว่างมีการแสดงดนตรี), during the war (ระหว่างสงคราม), during the night (ระหว่างเวลากลางคืน), during breakfast (ระหว่างเวลาอาหารเช้า)
                             คำบุพบทและคำอื่น ๆ ที่นิยมใช้คู่กัน
คำคุณศัพท์ (Adjective) ที่ใช้คู่กับคำบุพบทที่พบบ่อย
absent from                 (ไม่มา)
adequate for                (เพียงพอสำหรับ)
afraid of                       (กลัว)
aware of                      (ระวัง)
appropriate for             (เหมาะสำหรับ)
capable of                   (สามารถในการ)
familiar with                  (คุ้นเคยกับ)
fond of                         (ชอบ)
friendly with                  (เป็นมิตรกับ)
free from                      (เป็นอิสระจาก)
satisfied with                (พอใจกับ)
pleased with                (พอใจกับ)
etc....

                                           Adverbs ( กริยาวิเศษณ์ )
Types (ชนิดของกริยาวิเศษณ์ )

Adverb ( กริยาวิเศษณ์ ) คือคำที่ใช้ประกอบหรือขยายคำต่อไปนี้เพื่อให้ได้ความหมายชัดเจน สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
1. Verb (กริยา)  เช่น  He works hard every day.  ( hard เป็น adverb  ขยายคำกริยา work )
2. Adjective ( คำคุณศัพท์)  เช่น  It is surprisingly hot  today. ( surprisingly เป็น adverb ขยาย คุณศัพท์ hot )
3คำกริยาวิเศษณ์ด้วยกันเอง  เช่น The train travels very quickly.( very ซึ่งเป็น adverb ขยาย quickly ซึ่งเป็น  adverb )
4Pronoun (สรรพนาม)  เช่น  What else I can say? ( else เป็น adverb ขยาย what  ซึ่งเป็น สรรพนาม )
5. กลุ่มคำที่เป็นวลี  เช่น They lived nearly on the top of the hill. ( nearly เป็น adverb ขยายวลี on the top of the hill )
6. ประโยค  เช่น However, I was successful in the examination ( however เป็น adverb ขยายประโยคที่ตามมา )
7. จำนวนนับ   เช่น  I go to Huahin almost every week. (  almost เป็น adverb ขยายจำนวนนับ every )
8. Preposition (บุพบท)   เช่น  I hit him right on his nose . ( right ในที่นี้แปลว่า"พอดี " เป็น adverb ขยาย preposition "on")
9. Conjunction ( สันธาน ) เช่น   He didn't stop working even though he was very tired. ( even =ถึงขนาดนั้น เป็น adverb ขยายสันธาน though
การจัดชนิดของ adverbs นี้  แต่ละตำราจะแบ่งไม่เหมือนกัน แต่โดยรวมแล้วเนื้อหาจะเหมือนกัน ในที่นี้จัดกลุ่มดังนี้
  • Adverb ที่ขยาย  adjective  และ adverb   ได้แก่ 
       1.Adverbs of Degree  ซึ่งปกติจะนำหน้าคำที่มันขยาย
  • Adverb ที่ขยาย verb ได้แก่
        2. Adverbs of Time
        3. Adverbs of Manner
        4. Adverbs of Place
        5. Conjunctive Adverbs  
    อื่นๆ
        6. Interrogative Adverbs
        7. Relative Adverbs 
        8. Viewpoint and Commenting Adverbs     9. Adverbs phrases and clauses of purpose
        10. Adverbs of Certainty
มีรายละเอียดดังนี้
1. Adverbs of Degree    เป็นกริยาวิเศษณ์ทส่วนใหญ่ี่ไปขยาย adjective  หรือ adverb ด้วยกันเอง เพื่อบอกระดับหรือปริมาณความมากน้อย คำที่พบบ่อยๆ ได้แก่
absolutelycertainlydefinitely,probablyentirelyobviouslyvery
almostnearlyquitejusttooenoughhardly
completelyveryextremelyexactlyscarcelysomuch
quiteperhapsprobablyratherfairlyonlyslightly
ตำแหน่งของ Adverbs of Degree  ส่วนใหญ่วางหน้าคำที่มันขยาย มักจะขยาย adjective หรือ adverb  ด้วยกันเอง  และวางหน้า main verb  หรือระหว่างกริยาช่วย ( auxiliary verb )กับ main verb เช่น
The water was extremely cold.   น้ำนั้นเย็นเจี๊ยบเลย  ( ขยาย adjective - cold)
I am too tired to go out tonight.  ฉันเหนื่อยเกินไปกว่าที่จะออกไปข้างนอกคืนนี้   ( ขยาย adjective - tired)
Please do not speak too fast.  โปรดอย่าพูดเร็วเกินไป   ( ขยาย adverb - fast )
He hardly noticed what she was saying. เขาแทบไม่ได้สังเกตว่าเธอพูดอะไร ( วางหน้า main verb - noticed )
She had almosfinished her breakfast when I came in. เธอกินอาหารเช้าเกือบเสร็จแล้วตอนที่ฉันเข้ามา
    ( วางระหว่างกริยาช่วย  - had กับ main verb - finished )
2. Adverbs of Time   เป็น adverb ที่ บอกว่าการกระทำนั้นเกิดเมื่อใด (when ) เป็นเวลานานแค่ไหน    ( for how long ) และบ่อยแค่ไหน ( how often ) เช่น
  • When : เช่น today, yesterday, later,now, last year, after,soon, before, sometime (ขณะใดขณะหนึ่งในอดีต,อนาคต ), immediately, recently,early
  • For how long : เช่น     all day, not long, for a while, since last year,temporarily,briefly, from......to, till, until (บางตำราแยกเป็น Adverbs of Duration )
  • How often : เช่น      sometimes (บางครั้ง บางคราว ), frequently, never, often, always, monthly  ( บางตำราแยกหัวข้อนี้ออกเป็น Adverbs of Frequency )
การวางตำแหน่งของ Adverbs of time
  • Adverb ที่บอกว่าเกิดเมื่อใด ( When ) ส่วนมากจะนิยมวางท้ายประโยค เช่น
    I 'm going to tidy my room tomorrow. ฉันจะจัดห้องให้เป็นระเบียบเรียบร้อยพรุ่งนี้
    You have to get back before dark. คุณต้องกลับมาก่อนจะมืดค่ำ
    Everyone  arrived early. ทุกคนมาเร็วกว่าเวลาที่กำหนด
    It is time to leave now. ได้เวลาที่จะต้องไปแล้ว
    แต่อาจวางหน้าประโยคได้เช่น
    Today I will go to the library. วันนี้ ฉันจะไปห้องสมุด
    Now it is time to leave. ได้เวลาที่จะต้องไปแล้ว
  • Adverb of time ส่วนมากจะวางไว้ในกลางประโยคไม่ได้ ยกเว้น now, once, และ then เช่น It is now time to leave.
  • Adverb ที่บอกว่าเป็นเวลานานแค่ไหน ( for how long ) ส่วนมากวางท้ายประโยคเช่นกัน เช่น
     I lived in Australia for a year. ฉันเคยอยู่ที่ออสเตรเลียเป็นเวลา 1 ปี
    My daughter went out with her friends all day. ลูกสาวฉันออกไปกับเพื่อนของเธอทั้งวัน
    John will be here from tomorrow till next week. จอห์นจะอยู่ที่นีตั้งแต่พรุ่งนี้ถึงอาทิตย์หน้า
  • Adverb ที่บอกว่าบ่อยแค่ไหน ( how often ) เป็นการแสดงความถี่ของการกระทำ ส่วนมากวางหน้ากริยาหลัก ( main verb ) แต่หลังกริยาช่วย  ( auxiliary verbs ) เช่น  be, have, may, must
    often eat vegetarian food. ฉันรับประทานอาหารมังสวิรัติอยู่บ่อยๆ
    He never drinks milk. เขาไม่เคยดื่มนม
    You must always fasten your seat belt. คุณจะต้องคาดเข็มขัดนิรภัยเสมอ (เช่น เวลาขับรถ นั่งเครื่องบิน )
  • Adverb ที่บอกว่าบ่อยแค่ไหนซึ่งระบุจำนวนเวลาของการกระทำที่แน่นอน ส่วนมากจะวางท้ายประโยค เช่น
    This magazine is published monthly. นิตยสารฉบับนี้ออกเป็นรายเดือน
    He visits his mother once a week. เขาไปเยี่ยมมารดาของเขาอาทิตย์ละครั้ง (เป็นกิจวัตร)
  • Adverbsที่สามารถวางท้ายประโยค หรือวางหน้ากริยาหลักเช่น   frequently,generally, normally, occasionally,often, regularly, sometimes, usually   เช่น
    She regularly visits France. เธอไปฝรั่งเศสเป็นประจำอย่างสม่ำ่เสมอ
    She visits France regularly.
    We occasionally go to the cinema. เราไปดูภาพยนต์ในบางโอกาส
    We go to the cinema occasionally.
หมายเหตุ   
sometime ( ขณะใดขณะหนึ่งในอดีต,อนาคต) เป็น adverb ที่บอกว่าการกระทำเกิดเมื่อใด ( When )
sometimes ( บางครั้งบางคราว ) เป็น adverb ที่บอกความถี่ของการกระทำ ( how often ) ดังนี้
    I would like to read that book sometime.   ฉันอยากจะอ่านหนังสือเล่มนั้นเมื่อใดเมื่อหนึ่ง
    I sometimes see him in the park. ฉันเจอเขาในสวนสาธารณะเป็นครั้งคราว
3. Adverbs of Manner  เป็น adverb ที่บอกว่าการกระทำนั้นได้กระทำในลักษณะอาการอย่างไร ( How ) ส่วนมากจะเป็น adverb ที่ลงท้ายคำด้วย -ly เช่น
activelyอย่างกระฉับกระเฉงany howอย่างไรก็ดี
ิaggressivelyอย่างก้าวร้าวloudlyอย่างดัง
carefullyอย่างระมัดระวังdistinctlyอย่างเห็นได้ชัด
easilyอย่างง่ายดายequallyโดยเท่าเทียมกัน
fastอย่างเร็วgladlyอย่างดีใจ
greedilyอย่างตะกละ ละโมบintentionallyอย่างตั้งใจ
quicklyอย่างเร็วpromptlyอย่างไม่ชักช้า
simplyโดยง่าย, ธรรมดาquietlyอย่างเงียบเชียบ
stillโดยสงบนิ่งsincerelyอย่างจริงใจ
togetherร่วมกันsuddenlyโดยกระทันหัน
wiselyอย่างฉลาดwellอย่างดี
การวางตำแหน่งของ Adverbs of Manner
  • ถ้าประโยคไม่มีกรรมให้วางหลังกริยา เช่น
    They walk slowly.  เขาเดินอย่างช้าๆ  ( ประโยคนี้ไม่มีกรรม   slowly วางหลังกริยา walk ในประโยคต่อๆไปก็เช่นกัน)
    Her eyes shine brightly. ดวงตาของเธอเป็นประกายสดใส
    We waited patiently for the show to begin. เรารอให้การแสดงเริ่มอย่างอดทน
  • ถ้าประโยคนั้นมีกรรม ให้วางหลังกรรม
    I can speak Japanese well.  ฉันพูดภาษาญี่ปุ่นได้อย่างดี ( Japanese เป็นกรรมของ speak )
    She sings the song beautifully. เธอร้องเพลงนั้นได้เพราะ  ( song เป็นกรรมของ sing )
  • Adverb of Manner ที่ลงท้ายด้วย -ly หรือเป็นคำที่แสดงความเห็นของผู้พูดเกี่ยวกับการกระทำนั้น ส่วนใหญ่นิยมวางไว้ในประโยค
    I have carefully considered  all of the possibilities. ฉันได้พิจารณาความเป็นไปได้ต่างๆอย่างระมัดระวัง
    hardly had any time to talk to him. ฉันไม่ค่อยมีเวลาคุยกับเขา
  • Adverbs of Manner อาจจะวางไว้หน้าประโยคได้เมื่อต้องการเน้น  Adverb นั้น
    Patiently, we waited for the show to begin.  เรารอให้การแสดงเริ่มอย่างอดทน
  • ประโยคอุทานที่ขึ้นต้นด้วย How ให้วาง Adverbs of Manner  ไว้หลัง How เช่น
    How quickly the time passes!  เวลาช่างผ่านไปเร็วอะไรเช่นนี้
    How hard she works! เขาทำงานหนักอะไรอย่างนี้
  • ในประโยค passive voice  ถ้ามี Adverb of Manner มาขยาย ให้วางไว้หน้ากริยาช่อง 3 เสมอ
    The report was well written. รายงานนั้นได้มีการเขียนเป็นอย่างดี
  • ในการใช้อย่างเป็นทางการ ( formal English )  จะไม่วาง Adverb of Manner ตามหลัง to ใน  infinitive
    I wanted to carefully consider the situation. (informal)
        ฉันต้องการพิจารณาสถานการณ์นั้นอย่างระมัดระวัง
    I wanted to consider the situation carefully. ( formal )
  • Adverb of Manner ที่เป็น phrases และ clauses  ปกติวางท้ายประโยค
    We arrived on foot. เราไปถึงโดยการเดิน  ( on foot เป็น phrase )
    We finished the work as quickly as we could.  
        เราได้ทำงานเสร็จลงอย่างรวดเร็วเท่าที่สามารถจะทำได้
        ( as quickly as we could เป็น clause )
  • แต่ในกรณีที่ต้องการเน้น สามารถนำมาไว้หน้าประโยคได้
    As quickly as we could, we finished the work.
4. Adverb of Place   เป็น adverb ที่ บอกว่าการกระทำนั้นเกิดขึ้นที่ไหน  ( Where ) คำที่ใช้บ่อย  เช่น
ีupstairsdownstairsoutsideinsideoutdoorsindoorsherethere
somewherenowhereeverywhereanywhereelsewherehomesouthwardsbackwards
  • ตำแหน่งของ Adverb of Place ปกติจะวางท้ายประโยคหลังกริยาหลัก ( main verb ) หรือหลังกรรม ( object )และไม่มีคำอื่นต่อท้าย เช่น
        The students are walking home.
            พวกนักเรียนกำลังเดินกลับบ้าน ( วางท้ายประโยคและหลังกริยา)
        You 'll find these flowers everywhere.
            คุณจะพบว่ามีดอกไม้เหล่านี้อยู่ทุกหนแห่ง  ( วางท้ายประโยคหลังกรรม- flowers )
        The books are here.
            หนังสืออยู่ที่นี ( วางท้ายประโยคหลังกริยาช่วย- are )
        Cat don't usually walk backwards.
            .แมวไม่่เดินถอยหลัง (วางท้ายประโยคหลังกริยาหลัก- walk )
    หมายเหตุ  towards เป็น preposition ซึ่งจะต้องตามด้วย nouns หรือ pronouns เท่านั้น มิใช่ Adverb of Place  เช่นประโยคต่อไปนี้
        He walked towards the car.  เขาเดินตรงไปที่รถ ( car เป็น  noun )
  • นอกจากนั้นมีคำต่อไปนี้ ซึ่งถ้าใช้ตามหลังคำกริยาโดยไม่มีคำอื่นต่อท้ายอีกจึงจะทำหน้าที่เป็น Adverb of Place   หากมีคำต่อท้ายจะทำหน้าที่เป็นบุพบท (preposition) 
abovealongat,acrossafteraboutaroundaway
ิิัbybelowbeforebackbehindonupdown
nearnextinthroughoffoverasideunder
เช่น 
He told me to stand up.
    เขาบอกให้ฉันยืนขึ้น ( upในที่นี้เป็น adverb of place ขยาย stand )
Jack climbed up the ladder.
    แจ๊คปีนขึ้นบันได ( up ในที่นี้ทำหน้าที่ี้เป็น preposition แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง Jack กับบันได)
5. Conjunctive Adverbs  เป็นกริยาวิเศษณ์ที่ทำหน้าที่เป็นคำเชื่อมอนุประโยค (independent clause )ในประโยค   โดยมีข้อความของอนุประโยคหน้าและอนุประโยคหลังเชื่อมโยงกัน   เช่นคำต่อไปนี้
accordinglyalsoanyway besidescertainlyconsequently
furtherfurthermorehencehoweverincidentallyindeed
meanwhilemoreovernamelyneverthelessnextnonetheless
similarlystillthenthereafterthereforethus
finallylikewiseotherwisefinallyinsteadnow
undoubtedlyso againin factfor exampleon the contrary
  • การใช้ Conjunctive Adverbs ในการเชื่อมอนุประโยคจะต้องใช้ semi colon ในการเชื่อมประโยคและคำ Conjunctive Adverbs ต้องมี comma ตาม   ยกเว้น so และ otherwise ไม่ต้องมี comma  เช่น

    Bill went to school; however, he didn't attend classes.
        บิลไปโรงเรียนแต่ไม่ได้เข้าเรียน
    The check was for more than the balance; consequently, it bounced.
        จำนวนเงินในเช็คนั้นมากกว่าเงินในบัญชี เช็คจึงเด้ง
    You will need to focus on the goal; otherwise it is easy to get distracted.
        คุณต้องมุ่งจุดสนใจไปที่เป้าหมาย มิฉะนั้นอาจจะถูกทำให้เขวได้ง่าย  ( ไม่ต้องมี comma ตาม otherwise )
  • Conjunctive Adverbs วางได้หลายตำแหน่งโดยความหมายไม่เปลี่ยนไป เช่นWe wanted to go on a picnic; however, the weather turned bad and we weren't able to go.
        เราต้องการไปปิคนิค อย่างไรก็ดีเกิดอากาศไม่ดีขึ้นมาเราจึงไปไม่ได้
    We wanted to go on a picnic; the weather turned bad, however,and we weren't able to go.
    We wanted to go on a picnic. The weather turned bad and we weren't able to go, however.
        ประโยคนี้ไม่ต้องมี semi colon เนื่องจากเป็น 2 ประโยคไม่ใช่ 2 อนุประโยค

    โปรดสังเกตว่า semicolon เป็นเครื่องหมายเชื่อมอนุประโยค ไม่ใช่เครื่องหมายนำหน้า Conjunctive Adverbs
6Interrogative Adverbs  เป็นกริยาวิเศษณนำในประโยคคำถาม ได้แก่คำดังต่อไปนี้   why, where, how, when เช่น
Why are you so late?   ทำไมคุณสายจัง
Where is my passport? หนังสือเดินทางฉันอยู่ไหน
How much is that coat? เสื้อโค้ตตัวนั้นราคาเท่าไร
When does the train arrive?  รถไฟมาถึงเมื่อไร
หมายเหตุ   how สามารถใช้ได้ 4 วิธี
1. ในความหมาย 'ทำอย่างไร ( in what way)?':
    How did you make this sauce? คุณทำซอสนี้อย่างไร
    How do you start the car?  คุณติดเครื่องรถยนต์อย่างไร
2. ใช้กับ adjectives:
    How tall are you? คุณสูงเท่าไร
    How old is your house? บ้านคุณเก่าแค่ไหน
3. ใช้กับ much และ many:
    How much are these tomatoes? มันฝรั่งนี้ราคาเท่าไร
    How many people are coming to the party? จะมีคนมางานปาร์ตี้กี่คน
4. ใช้กับ adverbsตัวอื่นๆ :
    How quickly can you read this? คุณอ่านนี่ได้เร็วแค่ไหน
    How often do you go to London? คุณไปลอนดอนบ่อยแค่ไหน

7. Relative Adverbs  เป็นคำกริยาวิเศษณ์นำหน้า relative clause ได้แก่คำ when, where, why  แทนคำ preposition + which
I remember the day when we first met . ฉันจำวันที่เราพบกันครั้งแรกได้
    ( when = preposition on + which )
That's the restaurant where we had dinner last night.
    นั่นคือภัตราคารที่เรามาทานอาหารเ้ย็นกันเมื่อวานนี้ ( where= preposition at/in + which)
The reason why he refused is unconvincing.
    เหตุผลที่เขาปฏิเสธนั้นไม่น่าเชื่อถือเลย   ( why= preposition for + which )
8. Viewpoint and Commenting Adverbs  เป็นคำกริยาวิเศษณ์แสดงความเห็นของผู้พูด  ส่วนมากได้แก่คำต่อไปนี้
honestlyseriouslyconfidentiallypersonally
surprisinglyideallyeconomicallyofficially
obviouslyclearly
Honestly, I think he is a liar. จริงๆนะ ฉันว่าเขาเป็นคนโกหก
Personally, I'd rather go by train. โดยส่วนตัวแล้วฉันอยากจะเดินทางโดยรถไฟ
You obviously enjoined your meal.
9. Adverbs phrases and clauses of purpose เป็นคำกริยาวิเศษณ์ที่ตอบคำถาม "Why" ในรูปของวลีหรืออนุประโยค เช่น
I went to the store yesterday to buy  some sugar.
I will go to the library tomorrow to return  the book.
I need to buy a new shirt because my old one is worn out.
สามารถจะนำวลีหรืออนุประโยคนั้นวางหน้าประโยคได้โดยตามด้วย comma
Because it was such a beautiful day, I decided to go for a walk.
10Adverbs of Certainty  เป็นคำกริยาวิเศษณ์ แสดงความรู้สึกแน่ใจของผู้พูด คำที่ใช้มากเช่น
certainly,definitely, probably, undoubtedly, surely
He definitely left the house this morning
He has certainly forgotten the meeting
He will probably remember tomorrow
Undoubtedly, Winston Churchill was a great politician.
หมายเหตุ คำบางคำอาจทำหน้าของกริยาวิเศษณ์ได้หลายอย่างเช่น   undoubtedly  เป็นได้ทั้ง conjunctive adverbs เชื่อมอนุประโยค และ Adverb of Certainty แสดงความแน่ใจ

Pronouns  ( คำสรรพนาม )
Types (ชนิดของคำสรรพนาม)

Pronoun ( คำสรรพนาม )  คือคำที่ใช้แทนคำนามหรือคำเสมอนาม ( nouns- equivalent ) เพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงซ้ำซาก หรือแทนสิ่งที่รู้กันอยู่แล้วระหว่างผู้พูด ผู้ฟัง   หรือแทนสิ่งของที่ยังไม่รู้ หรือไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร   คำสรรพนาม  (pronouns ) แยกออกเป็น  7 ชนิด คือ
  • Personal Pronoun ( บุรุษสรรพนาม )  เช่น I, you, we, he , she ,it, they
  • Possessive Pronoun ( สรรพนามเจ้าของ ) เช่น mine, yours, his, hers, its,theirs, ours
  • Reflexive Pronouns ( สรรพนามตนเอง ) เป็นคำที่มี - self ลงท้าย  เช่น myself, yourself,ourselves
  • Definite Pronoun ( หรือ Demonstrative Pronouns สรรพนามเจาะจง )  เช่น  this, that, these, those, one, such, the same
  • Indefinite Pronoun ( สรรพนามไม่เจาะจง ) เช่น  all, some, any, somebody, something, someone
  • Interrogative Pronoun ( สรรพนามคำถาม ) เช่น Who, Which, What
  • Relative pronoun ( สรรพนามเชื่อมความ ) เช่น  who, which, that
1.Personal Pronouns ( บุรุษสรรพนาม )  คือสรรพนามที่ใช้แทนบุคคลหรือสิ่งของในการพูดสนทนา มี 3 บุรุษคือ
บุรุษที่ 1ได้แก่ตัวผู้พูดI, we
บุรุษที่ 2ได้แก่ผู้ฟัง  you
บุรุษที่ 3ได้แก่ผู้ ที่พูดถึง สิ่งที่พูดถึง he, she. it , they
รูปที่สัมพันธ์กันของคำสรรพนาม
รูปประธาน 
รูปกรรม
Possessive Form
Reflexive Pronoun
Adjective
Pronoun
 I
 me
my
 mine
 myself
we
us
our
ours
ourselves
you
you
your
yours
yourself
he
him
his
his
himself
she
her
her
hers
herself
it
it
its
its
itself
they
them
their
theirs
themselves
เช่น
I saw a boy on the bus. He seemed to recognize me.
ฉันเจอเด็กคนหนึ่งบนรถประจำทาง เขาดูเหมือนจะจำฉันได้  ( He ในประโยคที่สองแทน a boy และ me แทน I  ในประโยคที่หนึ่ง )
My friend and her brother like to swim. They swim whenever they can.
เพื่อนฉันและน้องชายของเธอชอบว่ายน้ำ พวกเขาไปว่ายน้ำทุกครั้งที่มีโอกาส (  they ในประโยคที่สอง แทน My friend และ her brother ในประโยคที่ 1 )
การใช้ Personal Pronouns ที่ทำหน้าที่เป็นประธานและเป็นกรรมมีหลักดังนี้Personal Pronoun ที่ตามหลังคำกริยาหรือตามหลังบุพบท ( preposition ) ต้องใช้ในรูปกรรม เช่น
Please tell him what you want.   โปรดบอกเขาถึงสิ่งที่คุณต้องการ  ( ตามหลังดำกริยา tell )
Mr. Wilson talked with him about the project.
คุณวิลสัน พูดกับเขาเกี่ยวกับโครงการ ( ตามหลังบุพบท with )
หมายเหตุ        ถ้ากริยาเป็น verb to be สรรพนามที่ตามหลังจะใช้เป็นประธานหรือเป็นกรรม ให้พิจารณาดูว่า สรรพนามใน ประโยคนั้นอยู่ในรูปผู้กระทำ หรือ ผู้ถูกกระทำ เช่น
It was she who came here yesterday.
เธอคนนึ้ ที่มาเมื่อวานนี้  ( ใช้ she เพราะเป็นผู้กระทำ )
It was her whom you met at the party last night.
เธอคนนี้ที่คุณพบที่งานเลี้ยงเมื่อคืนนี้ (ใช้ her เพราะเป็นกรรมของ   you met )
2. Possessive Pronouns ( สรรพนามเจ้าของ )  คือสรรพนามที่ใช้แทนคำนามเมื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ได้แก่คำต่อไปนี้      mine,ours, yours, his, hers,its,theirs 
The smallest gift is mine. ของขวัญชิ้นที่เล็กที่สุดเป็นของฉัน
This is yours. อันนี้ของคุณ
His is on the kitchen counter. ของเขาอยู่บนเคาน์เตอร์ในครัว
Theirs will be delivered tomorrow. ของพวกเขาจะเอามาส่งพรุ่งนี้
Ours is the green one on the table . ของพวกเราคืออันสีเขียวที่อยู่บนโต๊ะ
possessive pronouns มึความหมายเหมือน    possessive adjectives แต่หลักการใช้ต่างกัน
This is my book.
นี่คือหนังสือของฉัน ( my ในประโยคนี้เป็น possessive adjective ขยาย book )
This book is mine
หนังสือนี้เป็นของฉัน (  mine ในประโยคนี้เป็น possessive pronoun  ทำหน้าที่เป็นส่วนสมบูรณ์ ( complement)  ของคำกริยา is )
3. Reflexive Pronouns ( สรรพนามตนเอง ) คือสรรพนามที่แสดงตนเอง แสดงการเน้น ย้ำให้เห็นชัดเจน มักเรียกว่า -self form of pronoun  ได้แก่
    myself. yourself, yourselves, himself, herself, ourselves. themselves, itself  มีหลักการใช้ดังนี้
  • ใช้เพื่อเน้นประธานให้เห็นว่าเป็นผู้กระทำการนั้นๆ ให้วางไว้หลังประธานนั้น  ถ้าต้องการเน้นกรรม (object ) ให้วางหลังกรรม เช่น
    She herself doesn't think  she'll get the job.
    The film itself wasn't very good but I like the music.
    I spoke to Mr.Wilson himself.
  • วางหลังคำกริยา เมื่อกริยาของประโยคเป็นกริยาที่ทำต่อตัวประธานเอง
    They blamed themselves for the accident.
    พวกเขาตำหนิตนเองในอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ( ตามหลังกริยา blamed )
    You are not yourseltoday.
    วันนี้คุณไม่เป็นตัวของคุณเอง ( ตามหลังกริยา are )
    I don't want you to pay for me. I'll pay for myself
    ฉันไม่อยากให้คุณเป็นคนจ่ายเงินให้ ฉันจะจ่ายของฉันเอง
    Julia had a great holiday. She enjoyed herself very much.
    จูเลียมีวันหยุดที่ดี เธอสนุกมาก
    George cut himself while he was shaving this morning.
    จอร์จทำมีดบาดตัวเองขณะทีโกนหนวดเมื่อเช้านี้
หมายเหตุ  ปกติ จะใช้  wash/shave/dress โดยไม่มี myself
  • เมื่อต้องการจะเน้นว่า ประธานเป็นผู้ทำกิจกรรมนั้นเอง
    Who repaired your bicycle for you? Nobody, I repaired it myself.ใครซ่อมรถจักรยานให้คุณ. ไม่มีใครทำให้ฉันซ่อมเอง
    I'm not going to do it for you. You can do it yourself.
    ฉันจะไม่ทำ( อะไรสักอย่างที่รู้กันอยู่ ) ให้นะ คุณต้องทำเอง
    By myself หมายถึงคนเดียว มีความหมายเหมือน  on my own  เช่นเดียวกับคำต่อไปนี้
    on ( my/your/his/ her/ its/our/their own     มีความหมายเหมือนกับ
    by ( myself/yourself ( singular) /himself/ herself/ itself/ ourselves/ yourselves(plural)/ themselves )
    เช่น
    I like living on my own/by myself. ฉันชอบใช้ชีวิตอยู่คนเ้ดียว
    Did you go on holiday on your own/by yourself? เธอไปเที่ยววันหยุดคนเดียวหรือเปล่า
    Learner drivers are not  allowed to drive on their own/ by themselves.
    ผู้ที่เรียนขับรถไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถด้วยตัวเองคนเดียวJack was sitting on his own/by himself in a corner of the cafe.
    แจ๊คนั่งอยู่คนเดียวทีีมุมห้องในคาเฟ
4. Definite Pronouns หรือ Demonstrative Pronouns  คือสรรพนามที่บ่งชี้ชัดเจนว่าใช้แทนสิ่งใด เช่น
 this, that, these, those, one, ones, such, the same, the former, the latter
That is incredible!    นั่นเหลือเชื่อจริงๆ  (อ้างถึงสิ่งที่เห็น)
I will never forget this.   ฉันจะไม่ลืมเรื่องนี้เลย (อ้างถึงประสบการณ์เมื่อเร็วๆนี้)
Such is my belief.  นั่นเป็นสิ่งที่ฉันเชื่อ (อ้างถึงสิ่งที่ได้อธิบายไปก่อนหน้านี้ )
Grace and Jane ar good girls. The former is more beautiful than the latter.
  เกรซและเจนเป็นเด็กดีทั้งคู่ แต่คนแรก (เกรซ)จะสวยกว่าคนหลัง (เจน)
5.Indefinite Pronouns ( สรรพนามไม่เจาะจง ) หมายถึงสรรพนามที่ใช้แทนนามได้ทั่วไป มิได้ชี้เฉพาะเจาะจงว่าแทนคนนั้น คนนี้ เช่น
everyoneeverybodyeverythingsomeeach
someonesomebodyallanymany
anyoneanybodyanythingeitherneither
no onenobodynothingnoneone
moremostenoughfewfewer
littleseveralmoremuchless
Everybody loves somebody. คนทุกคนย่อมมีความรักกับใครสักคน
Is there anyone here by the name of Smith? มีใครที่นีชื่อสมิธบ้าง
One should always look both ways before crossing the street. ใครก็ตามควรจะมองทั้งสองด้านก่อนข้ามถนน
Nobody will believe him. จะไม่มีใครเชื่อเขา
Little is expected. มีการคาดหวังไว้น้อยมาก
We, you, they ซึ่งปกติเป็น personal pronoun จะนำมาใช้เป็น indefinite pronoun เมื่อไม่เจาะจง  โดยมากใช้ในคำบรรยาย คำปราศัย เช่น
We should prepare ourselves to deal with any emergency. เรา ( โดยทั่วไป) ควรจะเตรียมพร้อมไว้เสมอสำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน)
You sometimes don't know what to say in such a situation. บางครั้งพวกคุณก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรในสถานการณ์เช่นนั้น.
6. Interrogative Pronouns ( สรรพนามคำถาม )  เป็นสรรพนามที่แทนนามสำหรับคำถาม ได้แก่  Who, Whom, What, Which  และ Whoever, Whomever,Whatever,Whichever   เช่น
Who want to see the dentist first? ใครอยากจะเข้าไปหาหมอฟันเป็นคนแรก? ( who ในที่นี้เป็นประธาน )
Whom do you think we should invite? เธอคิดว่าเราควรจะัเชิญใคร? (  whom ในที่นี้เป็นกรรม - object )
To whom do to wish to speak ? เธออยากจะพูดกับใคร? (  whom ในที่นี้เป็นกรรม - object )
What did she say?  เธอพูดว่าอะไรนะ? (  what เป็นกรรมของกริยา say )
Which is your cat ? แมวของเธอตัวไหน? ( which เป็นประธาน )
Which of these languages do you speak fluently? ภาษาไหนในบรรดาภาษาเหล่านี้ที่คุณพูดได้คล่อง? ( which เป็นกรรมของ speak )
หมายเหตุ   which และ  what  สามารถใช้เป็น  interrogative adjective   และ who, whom , which  สามารถใช้เป็น relative pronoun  ได้
7. Relative Pronouns ( สรรพนามเชื่อมความ ) คือสรรพนามที่ใช้แทนคำนามที่กล่าวมาแล้วในประโยคข้างหน้า   และพร้อมกันนั้นก็ทำหน้าที่เชื่อมประโยคทั้งสอง ให้เป็นประโยคเดียวกัน   เช่นคำต่อไปนี้  who, whom, which whose ,what, that , และ indefinite relative pronouns เช่น whoever, whomever,whichever, whatever
Children who (that) play with fire are in great danger of harm.
The book that she wrote was the best-seller
He's the man whose car was stolen last week.She will tell you what you need to know.The coach will select whomever he pleases.
Whoever cross this line will win the race.
You may eat whatever you  like at this restaurant.

 

Articles
Articles เป็นคำคุณศัพท์อย่างหนึ่ง   การเรียน Articles ต้องทำความเข้าใจควบคู่ไปกับเรื่องนามนับได้ ( Countable Nouns ) และนามนับไม่ได้ ( Uncountable Nouns ) ซึ่งเป็นเรื่องค่อนข้างสับสนสำหรับผู้เรียนซึ่งที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ ( Non-native speakers of English ) หรือเรียนภาษาอังกฤษ เป็นภาษาต่างประเทศ ( English as a Foreign Language )  เนื่องจากเป็นเรื่องที่มักจะตัดสินใจยากว่าอะไรเป็นนามนับได้ และอะไรเป็นนามนับไม่ได้  บางครั้งคำเดียวกันสามารถเป็นได้ทั้งสองอย่าง เป็นเรื่องที่มีกฎเกณฑ์มาก และขณะเดียวกัน ก็มีข้อยกเว้นมากเช่นกัน ต้องอาศัยความจำและประสบการณ์ ในการใช้ภาษา เป็นเวลานานจึงจะสามารถใช้ได้อย่างถูกต้อง
หลักการใช้ article นำหน้านาม คือ
เมื่อกล่าวเป็นการทั่วไปนามนับได้เอกพจน์ จะต้องมี a หรือ an นำหน้าเสมอ
นามพหูพจน์และนามนับไม่ได้ ไม่ต้องมี article ใดๆ
เมื่อกล่าวเป็นการชี้เฉพาะจะต้องใช้ the นำหน้าเสมอไม่ว่าจะเป็นนามเอกพจน์หรือพหูพจน์ เป็นนามนับได้หรือไม่ได้
Articles แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ
  • Indefinite Article ได้แก่   และ an ใช้นำหน้านามนับได้ ( Countable Nouns ) เอกพจน์ทั่วๆไป ( Singular )
  • Definite Article ได้แก่  the  ซึ่งใช้นำหน้าคำนามนับได้ ( Countable Nouns ) และนามนับไม่ได้ ( Uncountable Nouns ) ทั้งรูปเอกพจน์ Singular ) และพหูพจน์ ( Plural ) เพื่อให้นามนั้นมีความหมายเฉพาะเจาะจง
การใช้ Indefinite Article : a, an
1. ใช้ a นำหน้าคำนามนับได้ เอกพจน์ ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะและมีความหมายทั่วไปในความหมาย หนึ่ง โดยไม่ต้องการเน้นจำนวน เช่น   a woman, a dog, a dentist, a newspaper, a city , a book , a shop  เช่น
He is reading a newspaper.  เขากำลังอ่านหนังสือพิมพ์
2. ใช้ an นำหน้าคำนามนับได้ เอกพจน์ขึ้นต้นด้วยสระ และมีความหมายทั่วไป เช่น an orange, an umbrella, an hour, an article
It's raining.You will need an umbrella .ฝนกำลังตก คุณจะต้องมีร่มกันฝน.
หมายเหตุ
  • ถ้าคำนามนับได้ เอกพจน์ นั้นขึ้นต้นด้วยสระ   แต่ว่าออกเสียงเป็นพยัญชนะ ให้ใช้ a   เช่น a uniform, a university, a European, a eucalyptus ( ต้นยูคาลิบตัส ), a utensil, a union, a useful, a unit
  • ถ้าคำนามนับได้ เอกพจน์ นั้นมีคุณศัพท์นำหน้าขยาย   ให้ดูดังนี้
       -หากคำคุณศัพท์นั้นขึ้นต้นด้วยเสียงพยัญชนะก็ให้ใช้ a  เช่น  a sweet orange, a big umbrella
       -หากขึ้นต้นด้วย เสียงสระให้ใช้ an เช่น   an old city, an ugly woman  เป็นต้น
  • ถ้าคำนามนั้นขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ แต่ออกเสียงเป็นสระ   หรือมี adjective ที่ขึ้นต้นด้วยสระมาขยายข้างหน้านามนั้นให้ใช้ an เช่น
       -ออกเสียงเป็นสระ เช่น an hour, an heir, an honor
       -มีคุณศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วยสระ เช่น an important person
3. ใช้ a, an นำหน้านามเอกพจน์ เมื่อกล่าวถึงคำนามนั้นเป็นครั้งแรก เช่น
There is a shop on the corner.   มีร้านอยู่ 1 ร้านที่หัวมุม ( ใช้ a เพราะเป็นการพูดถึงครั้งแรก )
4. ใช้ a, an แทนพวก กลุ่ม หมู่เหล่า เช่น
A cow is an animal. วัวเป็นสัตว์ขนิดหนึ่ง
= Cows are animals.วัวเป็นสัตว์ An owl can see in the dark. นกเค้าแมวมองเห็นได้ในความมืด
5. ใช้ a, an ในการบอกอัตราต่อ 1 หน่วย ( per ) เช่น
She runs three miles a day. เธอวิ่งวันละ 10 ไมล์ ( เป็นกิจวัตร )
I go to the cinema about once month. ฉันไปดูภาพยนต์ประมาณเดือนละครั้ง
6. ใช้ a, an หน้าชื่อเฉพาะของผู้มีชื่อเสียงที่รู้จักทั่วไป เพราะมีคุณสมบัติ ความสามารถ หรืออุปนิสัยเหมือนผู้ที่ต้องการเปรียบเทียบ
He is an Einstein. เขาเป็นคนฉลาดเหมือนไอน์สไตน์
He is a Soontorn Poo of our school.  เขาเป็นคนที่แต่งกลอนเก่ง ( เหมือนสุนทรภู่) ของโรงเรียนเรา
     หมายเหตุ แต่ถ้าใช้ the แทน a หมายความว่าคนเช่นนั้นมีคนเดียว
He is the Soontorn Poo of our school.  เขาเป็นคนที่แต่งกลอนเก่งของโรงเรียนเรา ( เพียงคนเดียว)
He is the Khun Phaen of our family.  เขาเป็นคนเจ้าชู้( เหมือนขุนแผน)คนเดียวในครอบครัวเรา
7. ใช้ a, an นำหน้าคำนามที่เป็นสำนวนในประโยคอุทาน เช่น
What a pity !น่าสงสารจัง
What a shame ! น่าอายจัง !
8. ใช้ a, an นำหน้าคำนามเอกพจน์ที่กล่าวถึงการเป็นสมาชิกของกลุ่มต่างๆ เช่น กลุ่มอาชีพ เชื้อชาติ ศาสนา
My father is a teacher.  อาชีพ
Robert is an American.  เชื้อชาติ
John is a Catholic.   ศาสนา
9. ใช้ a, an แทนจำนวน หนึ่งหน้าคำนามที่เป็นสำนวนเกี่ยวกับการนับจำนวนหรือแสดงจำนวนมาก
a dozen of eggs.ไข่จำนวน 1 โหล
a gross of pensปากกาจำนวน 12 โหล
a lot of peopleประชาชนจำนวนมาก
a number of friendsเพื่อนจำนวนมาก
10. ใช้ a, an นำหน้านามที่เป็นสำนวนเกี่ยวกับการเจ็บไข้ได้ป่วย  โครงสร้างคือ have + a+ อาการเจ็บป่วย
have a headache ( ปวดหัว )have a pain in the chest ( เจ็บหน้าอก )
have a stomachache ( ปวดท้อง )have a cold ( เป็นหวัด )
have a toothache ( ไม่มี a ก็ได้ ) ( ปวดฟัน )have a fever ( เป็นไข้ )
ยกเว้นถ้าเป็นชื่อโรค ไม่ใช้ a, an เช่น
rheumatism( โรคปวดข้อ )diabetes ( เบาหวาน )
influenza (ไข้หวัดใหญ )่cancer ( มะเร็ง )
เช่น
He had an itch in the middle of his back .เขามีอาการคันที่กลางหลัง
He had a pain in the neck.  เขามีอาการปวดคอ
She is suffering from rheumatism.  เธอกำลังทุกข์ทรมานด้วยโรคปวดข้อ
11. ใช้ a,an ในสำนวนที่มีคำต่อไปนี้นำหน้าคือ    such, quite, rather, many
We didn't expect such a hot day.  เราไม่ได้คาดว่ามันจะเป็นวันที่อากาศร้อนเช่นนี้
He is quite a good boy. เขาเป็นเด็กดีทีดียว
It was rather a short trip. มันเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างสั้น
Many a place in Thailand impressed them. สถานที่หลายแห่งในประเทศไทยประทับใจพวกเขามาก
12. ใช้ a, an หลังโครงสร้างต่อไปนี้
so + adjective+a + นามนับได้ เอกพจน์ ( such a+ นาม ) เช่น
      We didn't expect so great a crowd.  .เราไม่คาดคิดว่าจะมีคนมากมายอย่างนี้
too + adjective + a + นามนับได้ เอกพจน์
      This is too hard a job for him.  นี่เป็นงานหนักเกินไปสำหรับเขา
however + adjective + a + นามนับได้เอกพจน
      
However nice a girl she is, he never like her. ไม่ว่าเธอจะเป็นคนน่ารักอย่างเขาก็ไม่ชอบเธอ
as + adjective + a + นามนับได้ เอกพจน์+ as
      
She is as good a student as you are.เธอเป็นนักเรียนที่ดีเช่นเดียวกับคุณ
13. สำนวนในภาษาอังกฤษที่ใช้ a,an
all of a suddenทันใดนั้นin a hurry/rushอย่างเร่งรีบ
as a matter of factอันที่จริงแล้วin a good/bad moodอารมณ์ดี/เสีย
as a ruleตามปกติ โดยทั่วไปkeep an eye onเฝ้าดู
do a favorช่วยเหลือmake a decisionตัดสินใจ
earn a livingหาเลี้ยงชีพmake a livingหาเลี้ยงชีพ
give an ideaให้ความคิดmake a mistakeทำผิด
go for a walkเดินเล่นmake noiseทำเสียงดัง
go for rideนั่งรถเล่นmake a speechกล่าวสุนทรพจน์
have a good timeสนุกสนานmake a wishอธิษฐาน
have a hair cutตัดผมmake a fool ofทำให้ขายหน้า
it's a shameน่าขายหน้าmake a requestขอร้อง
it's a pity thatน่าเสียดาย,น่าสงสารtell a lie, tell liesโกหก
take a tripเดินทางtake look atมอง ดู
take a pictureถ่ายรูปkeep secretเก็บเป็นความลับ
take a seatนั่งin position toอยู่ในฐานะที่จะ
with a view toเพื่อจะทำให้on large scaleอย่างมาก
on an/the averageโดยเฉลี่ยmake a remarkให้ข้อสังเกต
couple ofสองสามplay a joke onล้อเล่น
การใช้ a/an และ one
ที่ผ่านมาเป็นการใช้ a/an กับนามนับได้ในความหมายของสิ่งเดียว ( singular ) บางครั้งที่เราต้องการเน้นตัวเลข สามารถใช้ one กับนามนับได้เอกพจน์ เช่น
We'll be in Australia for one ( or a ) year. เราจะอยู่ในออสเตรเลีย 1 ปี
She scored one ( or a ) hundred and eighty points.  เธอได้คะแนน 168 คะแนน
จะใช้ one เท่านั้นเมื่อ
  • ต้องการที่จะเน้นว่าสิ่งที่กล่าวถึง มี/เป็น เพียง 1 ไม่ใช่ 2,3,4...... เช่น
    Do you want one sandwich or two? คุณต้องการแซนด์วิช 1 หรือ 2 อัน
    Are you staying just one night ? คุณจะพักค้างคืนวันเดียวหรือ
  • ใช้ one ในรูปแบบ one ...other / another เช่น
    Close one eye, and then the other. ปิดตาข้างหนึ่งก่อนแล้วจึงปิดอีกข้าง
    Bees carry pollen from one plant to another. ผึ้งนำเกสรดอกไม้จากต้นหนึ่งไปอีกต้น